ยินดีต้อนรับการเรียนรู้ "เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู" น๊คร๊

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

ความหมายของเครื่องคอมพิวเตอร์


 คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่มนุษย์สร้างและพัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้ในการทำงานที่ซับซ้อน หรือมีจำนวนมากให้เสร็จอย่างรวดเร็วและถูกต้อง
     คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์
    คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป  นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่อง และสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้



     อุปกรณ์พื้นฐานที่ประกอบกันเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่



จอภาพหรือมอนิเตอร์ (Monitor)
     มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมคล้ายเครื่องรับโทรทัศน์ มีจอสำหรับแสดงผลเป็นข้อความหรือภาพ ทำให้เรามองเห็นตัวหนังสือ และตัวเลขที่พิมพ์ลงไปหรือภาพต่างๆ ได้

แป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด (Keyboard)
     เป็นแท่นมีปุ่มตัวหนังสือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ตัวเลข สัญลักษณ์ต่างๆ เมื่อกดปุ่มใดข้อมูลที่ปุ่มนั้นจะถูกป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วไปปรากฏบนจอภาพ

เมาส์ (Mouse)
     เป็นอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้สำหรับเลื่อนตัวชี้เมาส์หรือเคอร์เซอร์หรือลูกศรที่ปรากฏบนจอภาพคอมพิวเตอร์ มักใช้คู่กับแผ่นรองเมาส์ เป็นแผ่นพลาสติกเรียบ ใช้สำหรับรองเมาส์ให้เลื่อนไปมาได้สะดวก




หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู (Control Processing Unit หรือ CPU)
     เป็นส่วนที่เปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่รับข้อมูลหรือคำสั่งจากโปรแกรม ซึ่งอยู่ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ จากนั้นจะรวบรวมข้อมูลตามคำสั่งมาคิดคำนวณแล้วแสดงผลออกมาทางจอภาพ

เครื่องอ่านแผ่นดิสก์ (Disk Drive)
     เป็นช่องสี่เหลี่ยมสำหรับใส่แผ่นดิสก์ ใช้อ่านข้อมูลที่บันทึกไว้ในแผ่นดิสก์และบันทึกข้อมูลลงในแผ่นดิสก์

เครื่องอ่านแผ่นซีดี (CD-Rom Drive)
     เป็นช่องสี่เหลี่ยมสำหรับใส่แผ่นซีดีรอม มักบรรจุอยู่ส่วนบนของกล่องซีพียูเคส (CPU Case) เครื่องขับแผ่นซีดี แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 
         CD-R Drive ใช้อ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีได้อย่างเดียว
      
   CD-RW Drive สามารถใช้อ่านและเขียนบันทึกข้อมูลลงในแผ่นซีดีได้
 เนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์อยู่มาก และจำเป็นต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้น เพื่อให้ความคุ้มค่าในการใช้งาน และลดปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเรียนรู้และศึกษาวิธีการดูแลอย่างถูกต้อง และเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จึงขอสรุปเป็นหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้



เครื่องพิมพ์ (Printer)
     เป็นอุปกรณ์ทีเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ใช้แสดงผลภาพหรือข้อความที่ปรากฏบนจอภาพ และพิมพ์ออกมาในรูปแบบของแผ่นกระดาษ เครื่องพิมพ์ในปัจจุบันมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบจะมีประสิทธิภาพในการใช้งานแตกต่างกัน

ลำโพง (Speaker)
     เป็นอุปกรณ์ทีเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ โดยผ่านทางการ์ดเสียง ทำหน้าที่แสดงผลสัญญาณเสียงภายในคอมพิวเตอร์ออกมาให้เราได้ยิน

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการประมวลผลจากข้อมูลทีได้รับเข้าไป โดยมีคำสั่งให้ทำงานตามต้องการ และแสดงผลที่ประมวลออกมา คอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบ 2 ส่วน ดังนี้


ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
     หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตา และสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น
     ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้ 4 หน่วย โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกัน คือ
         หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input Unit) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่รับข้อมูล คำสั่ง จากอุปกรณ์ส่งไปยังส่วนประมวลผลต่อไป อุปกรณ์ที่ใช้รับข้อมูลได้แก่ แป้นพิมพ์ เมาส์ เครื่องอ่านแผ่นดิสก์ เครื่องอ่านแผ่นซีดี ฮาร์ดดิสก์
         หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่รับเข้ามาตามคำสั่ง อุปกรณ์ที่ในการประมวลผลคือ ซีพียู
         หน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ของการประมวลผลตามคำสั่งต่างๆ จากส่วนประมวลผล อุปกรณ์ที่ใช้แสดงผล ได้แก่ จอภาพ เครื่องพิมพ์
         หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) ทำหน้าที่เป็นส่วนเก็บรักษาโปรแกรม และข้อมูลที่บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการเรียกใช้ก็นำออกมาแสดงผลได้ อุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ แผ่นดิสก์ แผ่นซีดี แฟลชไดร์ฟ เมมโมรี่การ์ด เป็นต้น 

ซอฟท์แวร์ (Software)
     หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อสั่งให้   เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 
          ซอฟท์แวร์ระบบ (System Software) หรือระบบปฏิบัติการ คือ ชุดของคำสั่งที่เขียนไว้เป็นคำสั่งสำเร็จรูป ซึ่งจะทำงานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากที่สุด เพื่อคอยควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง สามารถทำงาน    ร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีคือ DOS, Windows, Unix, Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities    ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน
         ซอฟท์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจำแนก ได้เป็น 2 ประเภท คือ
               1. ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อการทำงานเฉพาะอย่างที่เราต้องการบางที่เรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมการทำบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่าซื้อ โปรแกรมการทำสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไปตามความต้องการ หรือกฎเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่ใช้ ซึ่งสามารถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียนขึ้นนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงเป็นตัวพัฒนา
              2. ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทำไว้ เพื่อใช้ในการทำงานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดยผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทำการดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ ยังไม่ต้องเวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปนี้ มักจะมีการใช้งานในหน่วยงาน ที่ขาดบุคลากรที่มีความชำนาญเป็นพิเศษในการเขียนโปรแกรม ดังนั้น การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตัวอย่างโปรแกรมสำเร็จรูปที่นิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมต่างๆ เป็นต้น

กระบวนการ โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลัก
  คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีลักษณะการทำงานของส่วนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันเป็น กระบวนการ โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลัก คือ หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input) หน่วยความจำ (Memory หน่วยประมวลผลข้อมูล (Process) และหน่วยแสดงผลลัพธ์ (Output) ซึ่งมีกระบวนการขั้นตอนการทำงานดังนี้

หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input) 
เริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์  ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูล ที่จะป้อนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่องถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิก (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพหรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น
     เมื่อผู้ใช้ต้องการทำงานใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะป้อนข้อมูล เปิด-ปิดโปรแกรม การเลือกคำสั่ง การสั่งแสดงผลข้อมูล ผู้ใช้ต้องป้อนข้อมูลผ่านทางอุปกรณ์ในส่วนนำเข้า เช่นใช้เมาส์เพื่อเลือกคำสั่งในการเปิดโรแกรม หรือพิมพ์งานด้วยแป้นพิมพ์ เป็นต้น
 หน่วยความจำ (Memory)
     หน่วยความจำที่อยู่ในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ ในการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น เมื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ อ่านข้อมูลเข้าไปแล้ว เครื่องอ่านก็จะนำข้อมูลที่อ่านได้ไปเก็บไว้ในหน่วยความจำนี้ แล้วจะเรียกมาใช้ในเวลาที่ต้องการ ข้อความหรือข้อมูลที่นำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำแล้วไม่ว่าจะนำมาใช้สักกี่ครั้งกี่หน ก็จะยังคงเป็นอยู่อย่างเดียว แต่ถ้าข้อมูลอื่นถูกอ่านทับเข้าไป ข้อมูลเก่าจะถูกลบไปทันที หรือถ้าไฟดับ ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในหน่วยความจำก็จะหายไปหมดเช่นกัน คอมพิวเตอร์จะทำงานได้ดี หรือมีประสิทธิภาพมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับหน่วยความจำมากกว่าอย่างอื่น
    สำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ เราเรียกหน่วยความจำนี้ว่า ชิป (chip) ซึ่งใช้เป็นที่เก็บข้อมูล แบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ ประเภทอ่านได้อย่างเดียว เรียกว่า "รอม" (ROM หรือที่ย่อมาจาก read-only memory) ซึ่งเก็บคำสั่งประเภทที่เครื่องต้องปฏิบัติตามทันที เช่น ไบออส (BIOS) ข้อมูลในนั้นจะไม่มีวันลบหายแม้ว่าจะปิดเครื่อง ส่วนอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า "แรม" (RAM หรือที่ย่อมาจาก random access memory) หน่วยความจำแรมนี้ใช้เก็บโปรแกรมหรือแฟ้มข้อมูลที่กำลังจะใช้งาน เมื่อปิดไฟที่ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่อยู่ในแรมจะหายไปหมด     และหากเริ่มต้นเปิดเครื่องใหม่ ต้องการจะใช้โปรแกรมหรือแฟ้มข้อมูลใด ก็จะต้องบรรจุ (load) โปรแกรมหรือ    แฟ้มข้อมูลนั้นมาเก็บไว้ในแรมก่อน จึงจะทำงานต่อไปได้
     สำหรับไมโครคอมพิวเตอร์แล้ว ยิ่งแรมมีขนาดใหญ่เท่าใด ยิ่งแสดงว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นมีประสิทธิภาพเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หน่วยความจำที่กล่าวถึงนั้นเป็นหน่วยความจำที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เรายังมีหน่วยเก็บข้อมูลที่อยู่นอกเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย หน่วยความจำนอกเครื่องนี้ เราเรียกว่า หน่วยความจำช่วย (Auxiliary memory) ซึ่งหมายถึงสื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ นั่นเอง เป็นต้นว่า จานบันทึก แถบบันทึก หน่วยความจำเหล่านี้ ไฟดับข้อมูลก็ยังอยู่
 หน่วยประมวลผลข้อมูล (Process)
     เมื่อนำข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ผู้ใช้ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่ม นำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น จากนั้นจะส่งผลไปเก็บไว้ยังหน่วยความจำหลัก และให้หน่วยแสดงผลลัพธ์ต่อไป 
 หน่วยแสดงผลลัพธ์ (Output)
     เป็นการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงผล ให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งข้อมูลที่แสดงออกมา อาจอยู่ในรูปแบบของรายงาน ภาพ แผนภูมิ ตาราง ซึ่งแล้วแต่ผู้ใช้จะสั่งงาน โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) ก่อน แล้วจึงสั่งพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์



การใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์
จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ ทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมเป็นอย่างมาก ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ   ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล (Word processing) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ดังต่อไปนี้
 การใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ แบ่งตามลักษณะการใช้งานของผู้ใช้
       ประโยชน์ด้านการพิมพ์เอกสาร การพิมพ์เอกสาร เช่น รายงาน หนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร การ์ดวันเกิด การ์ดอวยพรปีใหม่ ฯลฯ ล้วนแต่ใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดทำทั้งสิ้นเพราะสามารถออกแบบได้สวยงามและประหยัด   ค่าใช่จ่ายในการพิมพ์
       ประโยชน์ด้านการคำนวณ การคำนวณ หมายถึง การบวก ลบ คูณ หารหรือการหาคำตอบด้วยการคำนวณตัวเลข ใช้มากในงานด้านบัญชี การคำนวณราคาสินค้า เช่น เวลาที่นักเรียนไปซื้อสินค้าในร้านมินิมาร์ท นักเรียนจะเห็นพนักงานเก็บเงินของร้านใช้เครื่องคำนวณราคาสินค้ารวมเงินค่าสินค้าให้เราและคิดเงินทอนให้อย่างสะดวกโดยใช้คอมพิวเตอร์
       ประโยชน์ด้านการศึกษา นักเรียนคงเคยเห็นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่องานด้านการเรียนการ สอนในหลายรูปแบบ เช่น การนำเสนอบทเรียน การผลิตสื่อการสอนแบบผสม การใช้ชีดีรอมสำหรับการเรียนรู้ เกมเพื่อการศึกษาหรือคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
       ประโยชน์ด้านการออกแบบและสร้างงานศิลปะ เป็นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการวาดรูปการ์ตูนการออกแบบงานและการสร้างภาพกราฟิกหรือการตกแต่งภาพในคอมพิวเตอร์
    http://www.thaigoodview.com/files/u3562/red.gif ประโยชน์ด้านความบันเทิง เป็นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อความสนุกสนานบันเทิง เช่น เล่นเกม ฟังเพลง ชมภาพยนตร์ เป็นต้น
 การใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ แบ่งตามการทำงานขององค์กร
       งานธุรกิจ บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี งานประมวลคำ ช่วยผลิตสินค้า ช่วยประกอบอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ เช่น โรงงานผลิตรถยนต์ และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม งานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย
       งานธนาคาร ใช้คอมพิวเตอร์ในการให้บริการฝาก-ถอนเงิน ผ่านตู้เอทีเอ็ม คิดดอกเบี้ย ทำบัญชีเงินฝาก
       งานวิทยาศาสตร์การแพทย์และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการทำทะเบียนผู้ป่วย ทะเบียนยา การตรวจรักษาโรค และในส่วนของการคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษาโรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยวิธีแบบเดิม
       งานคมนาคมและการสื่อสาร งานที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ใช้คอมพิวเตอร์ในการสั่งจองที่นั่ง กำหนด    วันเวลาในการเดินทาง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีรถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้า หรือทุกสายการบินได้ ทำให้สะดวก ต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และการจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน
       งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือสร้างสถานการณ์จำลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการทำงาน
       งานราชการ งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น
       งานการศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียนการรับนักเรียนเข้าเรียน หรือการย้าย ซึ่งทำให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียน การเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด การจัดตารางเรียน และค้นคว้าหาความรู้ด้านต่างๆ
    คอมพิวเตอร์ยังมีประโยชน์อีกมาก ดังนั้น นักเรียนจึงต้องเรียนรู้วิชาคอมพิวเตอร์และฝึกหัดใช้คอมพิวเตอร์ให้คล่อง เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ให้คุ้มค่ามากที่สุดอีกทั้งยังเป็นทักษะในการประกอบอาชีพต่อไปในอนาคต

วิธีการดูแลอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้อง


 ฝุ่นละออง
     หลีกเลี่ยงการติดตั้งคอมพิวเตอร์ในบริเวณที่มีฝุ่น ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรเปิดเครื่องมาทำความสะอาด    ดูดฝุ่นภายในตัวเครื่องอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นกับสถานที่นั้นๆ
 ความร้อน
     เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์รวน และแฮ็งค์ ได้ง่ายๆ ควรติดตั้งให้ห่างกำแพงอย่างน้อย 15 ซม. และทางที่ดีควรติดตั้งในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์บางรุ่นจะมีโปรแกรมในการตรวจสอบความร้อนของเครื่อง ถ้าร้อนเกินไป โปรแกรมจะชะลอการทำงานของเครื่อง บางครั้งอาจมีการสั่งให้เครื่องปิดทันที
 น้ำ ความชื้น
     น้ำ และความชื้นเป็นตัวการที่ทำให้คอมพิวเตอร์เสียหายอย่างรุนแรง ดังนั้นควรจัดวางเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในสถานที่โล่ง ระบายอากาศได้ดี รวมทั้งหลีกเลี่ยงการนำน้ำ และอาหารต่างๆ มารับประทานใกล้ๆ เพื่อป้องกันการหกเลอะเทอะ จนอาจทำให้ทำคอมพิวเตอร์เสียหายได้
 ไวรัส
     ตรวจสอบไวรัส วิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหา และช่วยในการทำงานของคุณให้ราบรื่นด้วย เนื่องจากปัจจุบัน    ไวรัสมีการแพร่กระจายทุกวัน โดยเฉพาะการใช้งาน Internet & Email อาจติดมากับการดาวน์โหลดข้อมูล การเปิดดูอีเมล์ที่ไม่ปลอดภัย การใช้แฟลชไดร์ฟโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่ง เป็นต้น
 ถอดถอนโปรแกรม ที่ไม่จำเป็นออก
     บางครั้งเราลงโปรแกรมที่ไม่จำเป็นไว้ในเครื่องมากเกินไป เช่น เกมเวอร์ชั่นเก่า ซึ่งเราไม่ได้เล่นแล้ว เพลงเก่าที่ไม่ค่อยได้ฟัง หรือแม้กระทั่งโปรแกรมที่ไม่เคยได้ใช้ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง ดังนั้นการถอนโปรแกรมและไฟล์งานต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกจะช่วยเพื่อเพิ่มพื้นที่ของที่เก็บข้อมูล และให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วขึ้น
 อัพเดท (Updated)
     โปรแกรม Windows, Anti-Virus อย่างสม่ำเสมอ ถ้าให้ดี ควรติดตั้งโปรแกรมประเภท Firewall การอัพเดท โปรแกรมWindowsจะช่วยให้การใช้งานคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพ ง่ายขึ้น เพราะมีฟังก็ชั้นที่ช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น ทั้งยังสวยงามน่าใช้ขึ้นด้วย และเนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ได้ถูกสร้างขึ้น และแพร่ขยายอย่างรวดเร็ว การอัพเดทโปรแกรม Anti-Virus จะช่วยให้เราฆ่าไวรัสตัวใหม่ได้ทันเวลา โดยไม่ต้องเสี่ยง และเสียเวลากับการฟอร์แมตเครื่องพิวเตอร์อีกด้วย
 สำรองข้อมูล
     เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาของคอมพิวเตอร์ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ และเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล อันมีค่าของเรา การสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดปัญหาของได้มาก ซึ่งอาจสำรองข้อมูลลงฮาร์ดดิสก์คนละลูก (ถ้ามี) หรืออาจสำรองลงสื่อภายนอก เช่น แผ่นดิสก์ซีดี ทั้งนี้ขึ้นกับกำลังเงินที่เรามีอยู่ การสำรองอาจสำรองโดย การแบ่งออกเป็นวันคู่ วันคี่ หรือแยกออกเป็นวันจันทร์ - อาทิตย์ เป็นต้น
 ที่เก็บข้อมูล  หรือฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) 
     ควรมีการตรวจสอบพื้นที่ในการทำงานของฮาร์ดดิสก์ เนื่องจากฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ที่ในการจัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมที่ถูกใช้งานมากที่สุด ดังนั้นเราจึงควรมีการตรวจสอบ ฮาร์ดดิสก์เป็นประจำอยู่เสมอ โดยเริ่มด้วยการใช้โปรแกรม ลบขยะภายในเครื่อง Disk Cleanup, ตรวจสอบดิสก์Scandisk และ จัดเรียงข้อมูลในดิสก์ Disk Defragmenter อย่างน้อยเดือนละครั้ง ซึ่งมีผลทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ดีและเร็วขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น